ลงมือกันเลย……..ดีไหม…?
นักเรียนทะเลาะวิวาทกันอีกแล้ว นักเรียนใช้ความรุนแรงกันอีกแล้ว
นักเรียนมั่วสุมกันอีกแล้ว นักเรียน……………………….ฯลฯ อีกแล้ว
ข่าวต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ตามสื่อมวลชน ที่กระทบใจครูและผู้ปกครองที่สุดน่าจะเป็นข่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เลว เหลวแหลก ของเด็กและเยาวชนในขณะนี้
หน่วยงานที่รับผิดชอบต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย ด้วยท่าทีที่เป็นห่วงฟังไปฟังมาก็หาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร บ้างก็ว่า เป็นเพราะผู้ปกครองไม่เอาใจใส่ดูแลเด็ก บ้างก็ว่า เป็นเพราะโรงเรียนไม่เข้มงวดกวดขัน บางองค์กรโทษสื่อมวลชนและบางคนก็ยกความผิดทั้งหมดให้สังคม….เพราะสังคม เถียงไม่ได้…….หรือไม่ก็สรุปว่า……เด็กมันเลวเอง……
ผู้เขียนเป็นครูสอนเด็กมัธยมศึกษาตอนปลายมาแล้ว ๒๔ ปี สิบปีแรกสอนที่กรุงเทพมหานคร และสิบสี่ปีหลังสอนที่บ้านเกิดของตนเองคือที่นี่….ที่อ่างทอง….
ยี่สิบสี่ปีที่เป็นครูกับอีกสิบแปดปี (ไม่นับห้าขวบแรก)ที่เป็นวัยศึกษาเล่าเรียนจนจบการศึกษา มองย้อนหลังไปก็พบปัญหาเหล่านี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีกนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ลักษณะของปัญหาแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด ปัญหาชู้สาว อาชญากรรม ลักเล็กขโมยน้อย หรือการทะเลาะวิวาท พื้นฐานของปัญหาเหมือนเดิม การแก้ปัญหาโทษกันไปโทษกันมาเหมือนเดิมและก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นเหมือนเดิม
มองเห็นการกล่าวหาสาเหตุกันจากสื่อมวลชน มองเห็นการแสดงท่าทีว่าห่วงใยเยาวชนของผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลายแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับหนังเรื่องเดิมที่เปลี่ยนคนแสดงนำก็เท่านั้น
ในมุมนี้ ผู้เขียนเห็นว่า เราอย่ามัวทำท่าว่าห่วงเด็กเหลือเกินกันดีกว่า อย่าเสียเวลาหาข้อมูล หาสาเหตุหรือทำวิจัยอะไรเลย ลงมือทำกันเลยดีไหม ? ทำเท่าที่มือเราเอื้อมถึง ตามกำลังของเรานี่แหละ พ่อแม่มีลูกกี่คน ดูแลให้ดี ครูสอนเด็กกี่คน ดูแลให้ดี ถ้าเด็กในมือมากไป ก็ดูแลเท่าที่ดูแลได้ อย่างน้อยก็ตอบโจทย์สังคมให้ได้ว่า วันนี้ เราทำให้เด็กดีขึ้นได้แล้วกี่คน ตั้งเป้าไว้เลย วันละหนึ่งคน ให้มันรู้ไปสิว่าเราจะลดความชั่วในตัวเด็กลงไม่ได้
ทั้งพ่อแม่และครู-อาจารย์ เป็นจำเลยของสังคมอยู่แล้ว เด็กเลว ก็ตำหนิพ่อแม่ นักเรียนเลวก็ตำหนิโรงเรียน ทั้งๆ ที่ ทั้งพ่อแม่และคุณครูที่มีสัญชาติญาณของความเป็นบุพการีหรือปูชนียบุคคลก็ทำงานกันหนักหนาสาหัสเหลือเกินแล้ว
ทำอย่างไรได้ เราทำงานเกี่ยวกับเด็กๆ เมื่อเด็กๆ ทำผิด ก็ย่อมต้องรับผลกระทบไปเป็นธรรมดา ดังนั้น เราจึงควรตั้งหน้าตั้งตาทำงานไปตามหน้าที่คิดว่าทำบุญก็แล้วกัน ส่วนพวกที่ทำบาปกับเด็กอยู่ทุกวัน ได้แก่
นายทุนที่ส่งเสริมอบายมุขทุกประเภท
รายการวิทยุ-โทรทัศน์ที่มอมเมาเยาวชน
สื่อลามกทุกรูปแบบ
พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบปล่อยปละละเลยหรือโอ๋ลูกจนกลายเป็นคนมีปัญหาในสังคม
ครู-อาจารย์ที่ใช้เวลาราชการทำประโยชน์ส่วนตนหรือเห็นงานอื่นสำคัญกว่าการดูแลเยาวชน
ผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับงานอื่น ๆ มากกว่าการหล่อหลอม ปลุกปั้นเยาวชนด้วยความจริงใจ
บุคลากรทั้งหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่ส่งเสริมให้มีการกระทำผิดอันส่งผลกระทบต่อเยาวชน
บุคคลเหล่านี้ ล้วนเป็นพวกที่ทำบาปกับเยาวชนทั้งสิ้น….เราคงต้องปล่อย….ปล่อยเขาไป….รอจนกว่า…มโนธรรมจะลงโทษพวกเขาซึ่งก็นับว่ายากนัก…นอกจากปล่อยเขา….ปล่อยเขา….รอกฎแห่งกรรม…ที่เขาทำไว้กับเด็ก ๆ ก็แล้วกัน น้ำหนักของกรรมขึ้นอยู่กับจำนวนเด็กที่เขาทำให้เสียหาย
พ่อแม่ มีลูก สองคน เลี้ยงลูกไม่ดี ถือว่ามีกรรมอยู่สองรอย ถ้าลูกไม่สร้างรอยกรรมต่อก็ถือว่ามีเท่านี้ แต่ถ้าลูกสร้างรอยกรรมให้ยาวขึ้นรอยกรรมของพ่อแม่ก็จะเพิ่มขึ้นตามแรงกรรมที่ลูกเป็นผู้ก่อ เพราะการเลี้ยงลูกไม่ดีเป็นภัยต่อผู้อื่น
ครู-อาจารย์ ละเลยเด็กกี่คน รอยกรรมก็เท่ากับจำนวนเด็กที่ละเลยส่วนผลกรรมจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมทีทำไว้กับเด็ก ๆ
ผู้บริหารรับผิดชอบเด็ก ๆ ทั้งโรงเรียน ถ้าบริหารจัดการเกี่ยวกับเด็กผิดพลาด รอยกรรมนั้นก็คงยาวเทียบเท่ากับจำนวนชีวิตของเด็ก ๆ ที่ถูกละเลยในความรับผิดชอบของผู้บริหารนั้น ๆ
บุคลากรทุกองค์กรที่ทำร้ายเด็ก ๆ ล้วนมีกฎแห่งกรรมคอยอยู่ จะช้าหรือเร็วไม่ต้องรอลุ้น กรรมใครกรรมมัน หนักเบาไม่เท่ากัน เมื่อวันแห่งกรรมมาถึง ทุกคนก็หนีไม่พ้น กฎแห่งกรรม แน่นอน….
ลองนำจำนวนเด็กที่ท่านมีส่วนทำให้เสียหายโดยประมาณ คูณจำนวนปีที่ท่านทำงานเกี่ยวกับเด็กดู
แล้วจะเห็นเส้นทางแห่งกรรมที่ท่านทำไว้และจะต้องรับในอนาคตทั้งชาตินี้และชาติหน้า….สาธุ
โดย นางระพีร์ ปิยจันทร์
ที่มา:
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมายค่ะ 😀